รถที่เราจะนำมารีวิวให้ทุกคนฟังวันนี้ เป็นหนึ่งในรถนำเข้าจากเยอรมนี ภายใต้การจำหน่ายรถตรา 4 ห่วงในชื่อ Audi Thailand กับรถยนต์ไฟฟ้า ทรงสปอร์ต Audi e–tron Sportback ที่มีความทันสมัย แตกต่างไปจากรถยนต์ไฟฟ้าแบบเดิมๆ ที่หลายคนอาจติดภาพจำว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะต้องไซส์มินิหรือมีรูปทรงแปลกๆ วันนี้เราจะมารีวิวรถยนต์ไฟฟ้าทรงสปอร์ตคันนี้ให้ทุกคนได้ตกหลุมรักไปพร้อมกัน
ความกล้าของ Audi ในการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ประเทศไทย
ถือได้ว่าการเปิดตัวรถสไตล์อเนกประสงค์ SUV Audi e-tron Sportback เป็นการเดินหน้าทางธุรกิจที่สำคัญ
อีกก้าวในระดับ World Premier ด้วย Audi e-tron Sportbackเป็นรถไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ที่มีราคานำเข้าอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 5,299,000 บาท ภายใต้ราคานี้ลูกค้าจะได้รับประกันคุณภาพบอดี้รถ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ตลอดจนรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร และยังมี Road-side Assistant คอยให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินทุกช่วงเวลา 24 ชั่วโมง นานถึง 5 ปี
รูปภาพจาก https://www.headlightmag.com/offcial-price-audi-e-tron-sportback/
ในส่วนของรถจากทรง SUV ที่เคยนำเข้ามาจำหน่ายทั่วไปในไทย ก็ถูกปรับเปลี่ยนมานำเข้า Audi e-tron Sportback แทน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่หลายด้าน ตั้งแต่งานออกแบบ ประสิทธิภาพของรถที่ดีขึ้น รวมไปถึง
ระยะทางการขับขี่ที่ทำออกมาดีกว่ารุ่นทั่วไป เนื่องจากงานออกแบบตัวรถที่ทำให้เกิดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25 ถือว่าน้อยกว่ารุ่นปกติแบบชัดเจน ด้วยเช่นกัน และในรุ่นที่เข้ามาขายในไทยนั้นจะเป็นรหัส 55 ตัวแรงสุด จะมาพร้อม 95k Wh สามารถขับขี่ได้ระยะทาง 463 กิโลเมตร จากคุณสมบัติทั้งหมดที่สาธยายมานี้เองทำให้รถ Audi e-tron Sportback ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ทั้งหมดตั้งแต่ดีไซน์ความสูงของบอดี้รถ ระยะทาง ตลอดจนงานออกแบบทั้งหมด
ความพิเศษที่ถือเป็นเอกลักษณ์ทำให้ Audi e–tron Sportback มีความยูนีคต่างไปจากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ คือดีไซน์ที่เน้นความเป็นสปอร์ต มีการจัดการท้ายให้เป็นแนวลาด และทำให้ดูเพรียวมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ อีก ได้แก่
- Powertrain ขุมพลังของ Audi e-tron Sportback เป็น 2 Electric Motors หรือมอเตอร์ไฟฟ้าคู่
- โหมดปกติ (Normal Mode) มีกำลังสูงสุด 360 แรงม้า ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์หน้า 170 แรงม้า
มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 561 นิวตันเมตร - Boost Mode มีกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์หน้า 184 แรงม้า
มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 664 นิวตันเมตร - กำลังเกียร์อัตโนมัติ Single Gear กับระบบขับเคลื่อน 4ล้อ quattro ที่มาพร้อมระบบกระจายแรงบิด
หรือ wheel-selective torque control - มีอัตราเร่งอยู่ที่ 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.7 วินาที
- Top Speed ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- แบตเตอรรี่ Lithium-ion ที่มีความจุขนาด 95 kWh ขนาด 396 โวลต์ สามารถให้กระแสไฟเดินทางได้สูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้งเป็นระยะทางมากกว่า 463 กิโลเมตรมาตรฐาน NEDC
- สามารถรองรับทั้งการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด ขนาด 150 kW
และรองรับกระแสไฟฟ้าสลับ AC (ไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน) ขนาด 11 kW หรือ 22 kW - มีแบตเตอรี่ แบบ 36 Modules ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ
โดยสามารถเปลี่ยนซ่อม Repairable แยก Modules ได้ - มิติของตัวถัง imension มีความยาว 4,901 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,935 มิลลิเมตร แะมีความสูง 1,616 มิลลิเมตร
ส่วนของระยะฐานล้อ 2,928 มิลลิเมตร โดยสีตัวถังภายนอกนั้น มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาว Glacier White Metallic, สีเงิน Floret Silver Metallic, สีดำ Mythos Black Metallic,
สีเทา Daytona Grey Metallic, สีทอง Siam Beige Metallic และสีน้ำเงิน Antigua Blue Metallic - พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า มีขนาด 60 ลิตร
- ที่เก็บสัมภาระด้านหลังเมื่อพับเบาะลง มีขนาดอยู่ที่ 661 – 1,665 ลิตร
- ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25
ส่วนของเทคโนโลยี Technology ที่เป็น Option ของ Audi e–tron Sportback ประกอบด้วย
- พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Progressive
- ระบบเบรกคู่หน้า ดิสก์เบรก พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีส้ม
- ระบบเบรกคู่หลัง ดิสก์เบรก พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีส้ม
- ช่วงล่างแบบถุงลมแบบสปอร์ต Sport Adaptive Air Suspension
- ระบบเลือกโหมดการขับขี่ Audi Drive Select
ส่วนของ Exterior ภายนอก
- ชุดตกแต่งภายนอก S line
- ล้ออัลลอย 9.5 J x 21 ขนาด 21 นิ้ว
- ยาง ขนาด 265/45 R21
- ยางอะไหล่
- หลังคากระจก Panoramic Sunroof เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า
- ไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่มาพร้อมไฟ Effect Light Staging
- ด้านหน้าและด้านหลังมีไฟ Daytime Running Light แบบ LED
- ระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam
- กระจกมองหลังและกระจกมองข้าง เป็นแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
- กระจกมองข้างสามารถปรับและพับได้ด้วยไฟฟ้า อีกทั้งยังมาพร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Memory
- ระบบเปิดและระบบปิดไฟหน้า เป็นแบบอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนเป็นแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
- ระบบ Comfort Key
- ฝาท้ายสามารถเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และเป็นระบบที่ไม่ต้องใช้มือ Hands – Free Tailgate
ส่วนของ Interoir ภายใน
- ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยลาย Dark Matt Brush Aluminium
นอกจากนี้ภายในห้องโดยสาร ยังสามารถเลือกสีได้อีก 2 สี ได้แก่ สีดำ Black และสีเทา Grey
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสีของตัวถังภายนอกร่วมด้วย - เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Valcona
- เบาะนั่งคู่หน้า แบบ S Sports ตกแต่งแบบ Diamond Cut พร้อมสัญลักษณ์ S line
- เบาะนั่งคู่หน้าสามารถปรับด้วยไฟฟ้า และมีระบบบันทึกตำแหน่ง Memory Seat
อีกทั้งเบาะนั่งคู่หน้า ยังมาพร้อมฟังก์ชั่นอุ่นร้อน Heated Seats อีกด้วย - แดชบอร์ดหน้า แผงประตู และคอลโซลกลางหุ้มด้วยหนัง
- พวงมาลัย Mutifunction สปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S line
โดยพวงมาลัย สามารถปรับได้ด้วยระดับด้วยไฟฟ้า
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน
- ระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย และขวา
- ระบบควบคุมอุณหภูมิก่อนเริ่มการขับขี่ Comfort Stationary air conditioning
- ระบบช่วยผ่อนแรงเมื่อปิดประตู Soft Close
ส่วนของระบบความบันเทิง Entertainment ที่เชื่อว่าออกแบบมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายเป็นรถสไตล์กลุ่มของคนที่สร้างครอบครัวแล้ว และต้องการความรู้สึกเป็นวัยรุ่น ด้วยมีองค์ประกอบดังนี้
- ระบบเครื่องเสียงแบบ Premium : Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
- จอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว
- ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส
ขนาด 10.1 นิ้ว - ระบบ Audi Smartphone Interface | Apple CarPlay – Android Auto
- จอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้ว
- ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
และด้านหลังอีก 2 ตำแหน่ง - ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Contour / Ambient Lighting
- แทงบอลออนไลน์ ทางเข้า ufabet ภาษาไทย คาสิโนออนไลน์ เซ็กซี่ บาคาร่า บาคาร่า99 บาคาร่าออนไลน์ เว็บบาคาร่า สล็อตpg สล็อตเว็บตรง ไฮโลไทย ufabet168 ufabet เว็บตรง